การที่เราจะหาเงิน 1
ล้านแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าเราต้องมีการลงทุน และต้องมีวินัยในการลงทุนควบคู่กันไป พร้อมใช้เทคนิคในการลงทุนให้เป็นประโยชน์เพื่อหาเงิน 1
ล้าน เมื่อลงทุน ได้กำไร
เราต้องออมไปพร้อมๆกัน หากว่าคุณไม่ออม ทำยังไงก็ไม่มีเงินล้านๆแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการลงทุนที่ดีแค่ไหน แต่หากไม่ลงทุน ยังไงก็ไม่ประสบความสำเร็จในการหาเงินล้านแรกแน่นอน มาดูกันเลยว่ามีเทคนิคใดบ้างที่จะช่วยให้คุณหาเงินล้านแรกในชีวิตได้
1. เซฟวิ่งรูล 20 เปอร์เซ็นต์ คือการที่เราหาเงิน 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ออมทันที 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์นั้นให้เอามาใช้ จะเอาไปใช้อะไรก็ได้ตั้ง 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้ให้เต็มที่ แต่ว่า
20 เปอร์เซ็นต์นั้นต้องออมอย่างเดียว ซึ่งการออมแบบนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่ง่ายที่สุด และทำให้คุณภาพชีวิตของคุณมีกินมีใช้แน่นอน ที่สำคัญเงินล้านแรกก็ไม่นานเกินเอื้อมแน่ๆ
เพราะว่าออมน้อยหน่อย แต่ว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้ออมนั่นเอง
2. งานคือเงิน ยิ่งงานเยอะ เงินก็เยอะ ไม่ว่าจะเป็นงานจากช่องทางไหนก็ตาม ยิ่งมีงานเพิ่ม รายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้คุณสามารถออมเงินได้มากกว่าเดิม ทั้งนี้คนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น ก็อาจจะต้องวางเป้าหมายใหม่นิดหน่อย โดยการทำการหนักๆ เพื่อให้เงินเดือนของคุณเพิ่มทีละนิด อย่างน้อย 5%
ก็ยังดี และเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ก็ให้ทำการออมเพิ่มขึ้นด้วย การที่เราขยันทำงานแน่นอนว่าเงินเดือนต้องขึ้นแน่นอน
3. โบนัสและค่าคอมมิชชั่นต่างๆ หรือว่ารายได้พิเศษ ให้ออม
80 เปอร์เซ็นต์แล้วใช้ 20
เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อาจจะดูมากไปหน่อย แต่ว่ามันก็ช่วยให้คุณสัมผัสเงินล้านได้เร็วขึ้น ไม่ใช่ว่าโบนัสออกปุ๊บ เอาไปใช้ปั๊บแบบหมดเกลี้ยง ฉะนั้นส่วนนี้ให้ออมเยอะหน่อย เพราะว่ายังไงคุณก็ได้ใช้เงินจากเซฟวิ่งรูลถึง 80
เปอร์เซ็นต์แล้ว หาก
+ ส่วนนี้เข้าไปอีก 20
เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับคุณได้ใช้ 100
เปอร์เซ็นต์เต็มๆนั่นเอง ฉะนั้นเก็บแบบนี้แฟร์สุดๆแล้ว
4. ซิมเปิ้ล อินเวสต์เมนท์ ฟอร์ทฟอลิโอ้ เมื่อเราเริ่มมีเงินออมจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ให้เริ่มหาพอร์ตลงทุนได้เลย โดยจัดสัดส่วนเล็กๆ เริ่มบริหารความเสี่ยงตามความเหมาะสม โดยใช้เทคนิคอายุน้อยก็เสี่ยงน้อยหน่อย อายุมากหน่อยก็เสี่ยงเยอะๆ โดยค่อยๆเพิ่มอัตราการลงทุนตามประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์น้อยก็ลงทุนน้อยๆพอ
5. ออโต้
เซฟวิ่ง แบบนี้จะทำให้คุณนั้นไม่เสียเวลา โดยให้ทำการหักเงินแบบอัตโนมัติจากบัญชีไว้ได้เลย เพื่อเป็นเทคนิคหนึ่งในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แบบนี้จะทำให้การออมของคุณมีประสิทธิภาพกว่าเดิมแน่นอน
6. รีบาลานซ์ แอนด์
รีอินเวสต์ โดยเราต้องทำการทบทวนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเช็คสัดส่วนต่างๆที่อาจจะผิดเพี้ยนไป จากนั้นเงินส่วนใดที่เป็นกำไรค่อยนำกลับไปลงทุนอีกครั้ง เพื่อให้มีการลงทุนและสร้างกำไรได้ตลอด
7. แท็กซ์แพลนนิ่ง เริ่มการวางแผนภาษีต่างๆเอาไว้ได้เลย เพื่อให้การลงทุนนั้นไม่ขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนต่างๆ นั้นก็สำคัญ มันจะช่วยให้เงินในกระเป๋าของเรานั้นไม่ร่อยหรอ เพราะว่าต้องจ่ายภาษีต่างๆที่มากเกินไป
8. ลีเวอเรจ คอมปานี
เบเนฟิต นี่คือสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ เราต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลหรือว่ากองทุนสำรองก็ตาม ไม่ว่าจะมากหรือว่าน้อย มันก็เป็นสิ่งจะเป็นของคนที่ทำงานประจำ
9. ไลฟ์
โพรเทคชั่น เริ่มกำจัดความเสี่ยงต่างๆออกไปจากชีวิต พร้อมสะสมเงินในประกันชีวิตให้ได้เยอะๆ อย่างน้อยทุนประกันต้องเริ่มที่ 1,000,000
แล้วจ่ายซักเดือนละ 1,000
หน่อยๆ ถือว่ากำลังดีเลยทีเดียว
ความหมายของการเงิน ( Finance
)
การเงินหรือที่เราเรียกกันว่าไฟแนนซ์ ( Finance
) ก็คือการศึกษาต่างๆเกี่ยวกับการเงินโดยตรง และเป็นการตัดสินใจต่าง ๆที่จะทำให้การเงินนั้นมีการหมุนเวียนได้ โดยเน้นในเรื่องของการจัดสรรในส่วนของระบบการเงิน ให้มีซิสเต็มมากขึ้น ผ่านสถาบันการเงินต่างๆ เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับหลายฝ่าย มี
3 ประเภทด้วยกันคือ ประเภทการเงินแบบสาธารณะ, ประเภทการเงินแบบส่วนบุคคล, ประเภทการเงินแบบธุรกิจ โดยแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้
1. ประเภทการเงินแบบสาธารณะ ก็คือ
ในส่วนของบทบาทและหน้าที่ของทางภาครัฐ ที่จะต้องทำการวางนโยบายเกี่ยวกับการบริหารเงินโดยตรง พร้อมกับใช้นโยบายในส่วนของการบริหารเงินจากทางรัฐบาล เพื่อให้เป็นภารกิจหนึ่งที่รัฐจะต้องทำ พร้อมทั้งยังมีการสร้างบทบาทต่างๆขึ้นมา ตามหน้าที่เพื่อให้สามารถดำเนินการใดๆต่อไปได้
2. ประเภทการเงินแบบส่วนบุคคล คือ
การจัดระเบียบในส่วนของการเงินแต่ละบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการทำความรู้จักในส่วนของช่องทางการจัดหาเงินเสียก่อน พร้อมทั้งกรใช้จ่าย ที่จะต้องเลือกวิธีการใช้จ่ายให้มีความถูกต้องที่สุด จนบรรลุเป้าหมายทางด้านการเงินของแต่ละคน เพราะว่าแต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน
3. ประเภทการเงินแบบธุรกิจ เป็นอีกหนึ่งประเภทของการเงินที่เน้นในเรื่องของการศึกษาเป็นหลักโดยจะมีการเริ่มจัดการในเรื่องของระบบการเงินและให้สามารถตัดสินใจในเรื่องของการเงินระดับของบริษัท และธุรกิจต่างๆได้
ทั้งนี้เองระบบการเงินก็ต้องทำความรู้จักกับระบบการเงินด้วย โดยระบบการเงินนั้นก็คือสิ่งที่จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับคนที่มีหน้าที่ออมเงิน และมีหน้าที่ลงทุนต่างๆ โดยทั้งสองฝ่ายจะมาพบกันและใช้ตลาดการเงินนั้นเป็นเซ็นเตอร์เพื่อเป็นสถาบัน ไม่ว่าจะนายหน้า,
ผู้ประกันการขายและผู้ค้า จะเป็นเซ็นเตอร์ที่เน้นในเรื่องของการบริการทางด้านการขาย ตลอดจนในเรื่องของกฎมายต่างๆ การตลาดในเรื่องของการเงินนั้นจึงมีความสำคัญมากๆ และมีบทบาทแบบหลักในเศรษฐกิจ เพราะในทุกวันนี้มีสถาบันการเงินมากมาย
สถาบันการเงินส่วนใหญ่ก็มีหน้าที่ในการระบบเงินสำหรับการออม พร้อมให้เหล่าบรรดาคนที่ต้องการกู้เงินได้ใช้บริการ เพราะว่าบางคนก็ต้องการกู้เงินนั้นๆไปทำการบริโภคสิ่งต่างๆ หรือว่าบางคนก็อาจจะต้องการกู้เงินเพื่อไปลงทุนดำเนินธุรกิจต่างๆนั่นเอน สำหรับการจ่ายดอกเบี้ยนั้น จะมีการคิดในส่วนของดอกเบี้ยจากผู้ที่ให้กู้ยืม กิจกรรมต่างๆเหล่านี้จะมีการเกิดขึ้นสำหรับคนที่มีอาชีพและมีรายได้เท่านั้น
โดยทางสถาบันการเงินต่างๆก็จะมี 2
ประเภทหลักๆให้เราได้ใช้บริการกันคือ สถาบันการที่ทำการประกอบกิจการแบบธนาคาร คือสถาบันการเงินที่รับฝากเงินและสามารถถอนเงินคืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินสด, การใช้เช็ค,
หรือหนังสือสั่งเงินเป็นต้น โดยธนาคารก็จะมี 3
ประเภทย่อยๆด้วยกันคือ ธนาคารกลางจะทำหน้าที่ในส่วนของการควบคุมปริมาณในสินเชื่อและเงินต่างๆ ภายในส่วนตลาดพร้อมทั้งกำหนดอัตราของเงินสำรอง, ธนาคารพาณิชย์ เป็นธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตให้สามารถทำหน้าที่ฝากเงินและจ่ายเงินคืน, ธนาคารเฉพาะกิจคือธนาคารที่ตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามเป้าหมายในแต่ละแห่ง อีกแบบคือ สถาบันการเงินที่ไม่ได้ประกอบกิจการแบบธนาคาร คือบริษัทที่เป็นกองทุนรวม, บริษัทเงินทุนต่างๆเป็นต้น
สำหรับประโยชน์ของการเงินนั้น ต้องบอกว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะว่าในทุกวันนี้เงินมีบทบาททุกลมหายใจของเรา เพราะว่าเป็นทั้งตัวการในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงสถานภาทางการเงินของบริษัท, บุคคล
พร้อมช่วยในการผลิตให้ขับเคลื่อนต่อไป, เป็นการหมุนเวียน และเป็นมาตรฐาน รวมทั้งเป็นเครื่องวัดมูลค่าอีกด้วย
การลงทุนสำหรับมือใหม่
การออมก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง สำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มออมเงินนั้น ต้องเริ่มที่การศึกษาวิธีการออม วิธีการลงทุนเพื่อใช้เป็นประสบการณ์สำหรับการออมและการลงทุนให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยต้องใช้หลักต่อไปนี้ด้วย
1. รู้อดีตที่ผ่านมา เพราะก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนอะไรใหม่ๆนั้น ต้องทำการสังเกตสื่อต่างๆด้วยว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ควรทำการศึกษาให้ละเอียดก่อนการลงทุน และเพื่อการเอาตัวรอดจากหนี้สินในระดับพันล้าน เพราะบางคนอาจจะกำลังเจอโค้งอันตรายต่างๆในการลงทุน เราก็ต้องระมัดระวังให้ดีกว่าเดิม เพราะว่าการรู้อดีตที่ผ่านมานั้น จะทำให้เราเข้าใจว่า การลงทุนที่มากเกินไป มันจะทำให้เราอาจจะต้องทรัพย์สินต่างๆไปจำนองหรือจำนำ, การลงทันที่มั่นใจเกินไป ทำให้เรานั้นคิดไปว่ามันจะมีกำไรทุกรอบ แต่ว่ามันก็ทำให้คุณพังได้ และอาจจะเสียหายจนไม่มีสติ, และแม้ว่าตลาดหุ้นนั้นจะขึ้นเพียงใด เราอาจจะจิ้มผิดตัวก็ได้และคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ใช่ว่าไม่กลัวความเสี่ยง แต่คนเหล่านั้นคิดแค่ว่าเดี๋ยวก็ได้กำไรแล้ว แต่จริงๆแล้วมันอาจขาดทุนก็ได้
2. รู้เรื่องราวในปัจจุบัน โดยเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่เราจะทำการลงทุนใดๆ เช็คตัวเองให้ดีกว่าเข้าใจหลักในการลงทุนหรือไม่ หากไม่เข้าใจอะไร ลองศึกษาสิ่งต่างๆด้วยตัวเองดู เพื่อให้เราเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น และอย่าไปเชื่อสิ่งที่คนอื่นพูดมากเกินไป ฉะนั้นเราต้องค้นคว้าและหาข้อมูลต่างๆให้ดีเสียก่อนที่จะมาทดลองทำ ทั้งนี้การเตรียมเงินให้พร้อมก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เพราะว่า การลงทุน มันต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่อย่าไปเสี่ยงเอาเงินที่ชีวิตเรามีอยู่ทั้งหมดมาลงทุนกับอะไรบางอย่าง ควรจัดสรรเงินส่วนนั้นให้ดี เพื่อให้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง กับการลงทุนในเงินก้อนสุดท้ายของชีวิต เพราะหากว่าเราลงทุนไปหมดแล้วเกิดปัญหาต่างๆขึ้นมา เช่นขาดทุนย่อยยับ
ทีนี้จะเอาเงินที่ไหนในการดำรงชีวิตต่อไป แบบนี้มีโอกาสเข้าขั้นเครียดและอาจจะทำให้คิดฆ่าตัวตายก็เป็นไปได้
3. รู้ใจของตัวเอง ไม่ว่าในอดีตนั้นจะผิดพลังอะไรมาบ้างก็ตาม แต่หากว่าเรานั้นมีความรู้และมีเงินในการลงทุนแล้ว เราก็จะรู้ใจของเราเอง ว่าเราสามารถกำหนดอะไรได้บ้าง เรามีความโลภไหม เรามีความรู้ไหม เพื่อสร้างประสบการณ์ต่างๆ ด้วยความที่ไม่โลเล เพราะว่าใจของเราเอง จะทำให้เราตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ความรู้แล้ว บางคนมีความรู้เพียงน้อยนิด แต่ว่าใจพร้อมที่จะลงทุน ก็ลงทุนทันที ซึ่งหากว่าเราพร้อม
มีเงินพอ
มีทุนมากพอ ไม่กลัวความเสี่ยง
ยอมรับได้กับความเสี่ยงที่สูง แบบนี้จะลงทุนอะไรที่ใจต้องการก็แล้วแต่เลย
4. บางคนก็ศึกษาและหาหนทางในการลองทุนมาบ้าง แต่ว่าก็ยังไม่รู้ใจตัวเองเท่าไหร่ ว่าจะเก็งกำไร หรือว่าจะลงทุนดี สำหรับการเก็งกำไร เพราะว่าคนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแล้วไปเก็งกำไรกัน เผื่อหวังเงินปันผลต่างๆ บางคนก็คิดจะลงทุนซื้อทอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าซื้อทองมาเรื่อยๆ ลงทุนยาวๆไปตลอดชีวิต แต่ซื้อทองมแบบขายเก็งกำไร ซึ่งมันก็แล้วแต่คนชอบเช่นกัน เพราะว่าการลงทุนแต่ละแบบนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน หากว่าลงทุนแล้วได้ประโยชน์แน่ๆก็ลงทุนไปเลย หรือหากว่าคนชอบสไตล์การลงทุนแบบไหน แล้วใจอยากลงทุนก็ต้องลองดูซักครั้ง ไม่มีคำว่าสายสำหรับมือใหม่แน่นอน อย่างน้อย เริ่มออมเงินเล็กๆ ก็ถือว่าเป็นการลงทุนชนิดหนึ่งแล้ว ไม่ต้องคิดถึงขั้นขนาดต้องหาเงินมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เริ่มจากลงทุนด้วยการออมเงินของเราเองนี่แหละ ดีที่สุด
สิ่งที่ควรรู้ในการลงทุนทองคำ
1. ชอบการลงทุนในแบบสไตล์ใด แบบลงทุนระยะยาวหรือว่าลงทุระยะสั้น หรือชอบแบบผสมกันทั้งลงทุนระยะยาวและระยะสั้น เพราะว่าการลงทุนทองคำนั้น จะต้องมีการทำสัญญาเช่าซื้อต่างๆ และต้องมีการติดตามราคาทองคำในทุกๆวันด้วย ฉะนั้นเราต้องมีเป้าหมายว่า จะลงทุนแบบลองเทิร์มหรือลงทุนแบบเมคมันนี่ไปเรื่อยๆ
2. เลือกเครื่องมือต่างๆในการลงทุนให้มีความเหมาสม ซึ่ง
การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมต่อการลงทุนทองคำ จะมี
4 ประเภทคือ การลงทุนทางตรง คือการซื้อทองจากหน้าร้าน, ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะทองรูปพรรณหรือว่าทองคำแท่งก็ตาม, ลงทุนด้วยกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกับธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารทหารไทย เป็นต้น,
การลงทันสัญญาซื้อขาย ซึ่งการลงทุนแบบนี้ต้องลงทุนผ่านตลาดไทยแลนด์ฟีทเจอร์ส เอ็กซ์เชนจ์ สุดท้าย
การลงทุนทางอ้อม คือการใช้หุ้นต่างๆลงทุน ฉะนั้นเราจึงต้องเลือกเครื่องมือในการลงทุนให้เหมาะสมเสียก่อนที่จะลงทุน
3. กระจายความเสี่ยง เรียกว่าเป็นสำวนที่หลายๆคนมักจะเคยได้ยิน เพราะการกระจายความเสี่ยงนั้นมันเป็นการป้องกันความเสี่ยงชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนต่างๆที่สูงเกินไป อาจจะทำให้เรานั้นหมดตัวได้ เราจึงควรกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่แค่ลงทุนในทองอย่างเดียว เพราะหากว่ามันเสียกำไรขึ้นมาคุณนั่นแหละจะเจ็บตัว
4. ศึกษาก่อนการลงทุน โดยการเลือกลงทุนน้อยๆ และทำความเข้าใจกับความรู้ขั้นพื้นฐาน พร้อมทั้งค่อยๆสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อทำความเข้าใจของตลาดทองคำ ก่อนที่จะลงทุนหนักๆ
ก็ลงทุนทีละนิดจะดีที่สุด
5. มีวินัยในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นเพื่อทำกำไร หรือว่าระยะยาวก็ตาม พร้อมตั้งทริกเกอร์พ้อยท์เอาไว้ด้วย
6. ทองคำรูปพรรณและทองคำแท่ง เราสามารถเลือกซื้อได้ทั้งสองประเภท แล้วแต่ความประสงค์ของแต่ละคน สำหรับทองคำแท่ง เราจะไม่เสียค่ากำเหน็จต่างๆ เพราะว่าไม่สามารถสวมใส่ได้ แต่หากว่าเป็นทองรูปพรรณ เราจะเสียค่ากำเหน็จ สามารถใช้เป็นเครื่องประดับได้ ความแตกต่างของมันก็มีประมาณนี้ซึ่งควรศึกษาให้ดีก่อนซื้อ
7. ใช้เงินเย็นในการลงทุนเพียงเท่านั้น เพราะว่าหากเรากู้เงินมาลงทุนก็อาจจะทำให้ราคาทองเกิดการผวนผันจนทำให้เราขาดทุนได้ ที่สำคัญมันจะทำให้เรานั้นมีภาระ 2 ทาง
ไม่ว่าจะเป็นการเสียดอกเบี้ยในที่กู้มาและเสียกำไรในการเก็งทอง เพื่อความปลอดภัยในการลงทุนทองของท่าน ควรที่จะเลือกใช้เงินในกระเป่าของท่านเอง
8. เช็คค่าเงิน ยูเอสดอลลาร์และราคาน้ำมันโลกเอาไว้ให้ดี เพราะว่าค่าเงินยูเอสดอลลาร์เวลาที่มันลดลงนั้นราคาทองจะขึ้นทันที ฉะนั้นหลายๆคนก็เลือกที่จะใช้เงินดอลลาร์สนั่นแหละไปลงทองคำซะหมด และเมื่อไหร่ที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นมา ราคาทองก็ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เองในส่วนของราคาน้ำมันก็ส่งผลเช่นกัน เพราะหากว่าค่าน้ำมันลดลง ราคาทองก็จะลงตามน้ำมัน หรือหากว่าค่าน้ำมันขึ้นราคาทองก็จะขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงสูตรสูตรหนึ่งในการลงทุนทองคำเท่านั้น ไม่ใช่สูตรหลักตายตัวในการลทุนทองเสมอไป
9. สคบ.
ช่วยได้ หากว่าท่านเจอในกรณีของร้านทองที่ตุกติกขึ้นมา เพราะว่าทองรูปพรรณนั้นเป็นสินค้าที่มีการควบคุมฉลาก หากว่าฉลากไม่ตรงตามกฎหมายแล้วก็แจ้งให้ สคบ.ไปตรวจสอบได้เลยที่ 1166
10. ซื้อกับร้านที่คุ้นเคยจะดีที่สุด เพราะทำให้เราซื้อง่ายขายคล่องยิ่งขึ้น เงื่อนไขในการซื้อก็จะน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามควรสอบถามก่อนที่จะลงทุนซื้อทองทุกครั้ง เพราะว่าราคาก็แตกต่างกันออกไป
ลิงค์เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง http://www.binaryoptionee.com
NOTE: This article is not an investment advice. Any references to historical price movements or levels is informational and based on external analysis and we do not warranty that any such movements or levels are likely to reoccur in the future
GENERAL RISK WARNING
The financial services provided by this website carry a high level of risk and can result in the loss of all your funds. You should never invest money that you cannot afford to lose.